#๗๐อภิธัมมาวตาราวตาร :
เพื่อเข้าถึงคัมภีร์อภิธัมมาวตาร
กามาวจรกุศลจิต
: คำวินิจฉัยบุญกิริยวัตถุ ๑๐ ทานมย.และสีลมยบุญญกิริยาวัตถุ
( เนื้อความช่วงนี้อยู่ใน #คัมภีร์อภิธัมมาวตาร๘ )
เมื่อคราวที่แล้วได้กล่าวความหมายตามบทเรียกวา
“ปทวิจาร” หมายถึง
การตีกรอบความหมายตามบทพยัญชนะอย่างสังเขปเท่าที่ปรากฏตามหลักการที่คัมภีร์ฎีกาอภิธัมมาวตารนำเสนอไว้
บัดนี้จะแสดงความเป็นไปตามสภาวะและขอบเขตของบุญกิริยาวัตถุนั้นๆ
โดยนัยของฎีกานั้นสืบไป.
ทาน อันที่จริง ก็คือ ปริจจาคเจตนา
เจตนาที่ทำให้สละวัตถุ ที่ประกอบในกุศลจิตนั่นเอง. อันที่จริง
เจตนาที่เป็นไปโดยเนื่องด้วยการสละสิ่งของที่มีอยู่ของตน
โดยหวังจะบูชาและอนุเคราะห์มุ่งไปที่บุคคลอื่น ของเสขบุคคลและปุถุชน ก็เรียกว่า
ทาน. แม้เจตนาดังกล่าว ที่เป็นไปแก่พระขีณาสพ ก็เรียกว่า ทาน เหมือนกัน, แต่ทว่า
เจตนาของพระเสขะและปุถุชนเท่านั้นที่ประสงค์เอาว่าเป็นทานมยปุญญกิริยาวัตถุ
ของพระขีณาสพมิได้ประสงค์เอา,
#ปัญหาน่าสงสัย
ถาม
เหตุไรเจตนาสละของพระขีณาสพจึงไม่ถือเอาว่าเป็นทานมยบุญญกิริยานี้?
ตอบ เพราะเจตนาดังกล่าวของพระขีณาสพมิได้เป็นไปเพื่อทำให้ผลเกิดขึ้น,
และมิได้ชำระสันดานของพระขีณาสพ เพราะสันดานของพระขีณาสพหมดจดแล้ว.
ตามหลักการที่ว่า บุญเป็นสภาพทำผลควรบูชาให้เกิดและชำระสันดานของตน.
สรุปว่า
จิตดวงที่เป็นกุศลโดยทานมยปุญญกิริยาวัตถุนี้ เป็นของพระเสขะและปุถุชนเท่านั้น
ส่วนของพระขีณาสพไม่เป็น ซึ่งจะกลายเป็นจิตอีกพวกหนึ่งโดยเฉพาะเรียกว่า กิริยาจิต.
--------------
สีลมยบุญญกิริยาวัตถุ ก็คือ
เจตนาของพระเสขะและปุถุชน ไม่ใช่ของพระขีณาสพโดยนัยเดียวกับทานนั่นเอง. ในกรณีนี้
ศีลจึงได้แก่ เจตนาของพระเสขะและปุถุชน ผู้ที่สมาทานศีล ๕, ศีล ๘, ศีล ๑๐
โดยเป็นนิจจศีล และอุโบสถศีลเป็นต้น ก็ดี,
ผู้ที่แม้ไม่ได้สมาทานและกำลังงดเว้นจากกายทุจริตเป็นต้นที่มาปรากฏในขณะนั้น โดยตระกูลและประเพณี
(จารีต) ก็ดี, ผู้ที่สมาทานการสังวร (?) ในโรงอุปสมบท, ผู้บำเพ็ญปาติโมกขสังวรศีล
ก็ดี, ผู้ปิดกั้นอินทรีย์มีจักขุเป็นต้นในอารมณ์อันมาถึงคลอง
(กำลังปรากฏที่จักษุคือขณะเห็น), ผู้พิจารณาการใช้สอยปัจจัยมีจีวรเป็นต้น,
ผู้ทำอาชีวะให้บริสุทธิ์จากวัตถุมีการพูดหลอกลวงเป็นต้น นี้แหละ เรียกว่า
สีลมยบุญกิริยาวัตถุ.
#ปัญหาน่าสงสัย
ถาม การดำรงอยู่ในจาริตตศีลอย่างนี้ว่า
ชื่อว่า การให้นี้เป็นวงศ์ตระกูล เป็นข้อประพฤติประเพณีของพวกเรา ดังนี้แล้วก็ให้
อย่างนี้จะถือว่า เป็นทานมยหรือสีลมยบุญกิริยาวัตถุ.
ตอบ เป็นสีลมยฯ นั่นแหละ
เพราะถือเป็นจาริตตศีล. เพราะการให้เหล่านั้นถึงจะเป็นไปโดยการบริจาคไทยธรรม
ก็ยังถือเป็นสีลมยฯ นั่นเอง เพราะการกระตุ้นที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและเจตนาในภายหลัง
เป็นไปโดยอาการอย่างนั้น
(คือเป็นไปด้วยคิดว่าเป็นเพียงจารีตประเพณีของวงศ์ตระกูล).
แต่ในกรณีที่การให้โดยอาการอย่างนั้นเหมือนกันแต่เป็นไปเพื่อหวังอนุเคราะห์และบูชา
ก็จัดเป็นทานมยฯ.
บุญกิริยาวตถุข้อต่อไปยกไปว่าต่อในคราวหน้า
ขออนุโมทนา
สมภพ สงวนพานิช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น