วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

๘๒ : สงเคราะห์บุญกิริยา ๑๐ โดยเจตนาในกาล ๓ มีปุริมเจตนาเป็นต้น (ต่อ)

#๘๒อภิธัมมาวตาราวตาร : เพื่อเข้าถึงคัมภีร์อภิธัมมาวตาร
กามาวจรกุศลจิต : สงเคราะห์บุญกิริยา ๑๐ โดยเจตนาในกาล ๓ มีปุริมเจตนาเป็นต้น
เนื้อความช่วงนี้อยู่ใน#คัมภีร์อภิธัมมาวตาร๙ http://aphidhammavatara.blogspot.com/2016/05/blog-post_2.html

#ปัญหาน่าสงสัย
ถาม ถ้าว่า เจตนาระลึกถึงบุญที่ตนทำไว้นั้น สงเคราะห์เข้าไว้ในทิฏฐุชุกรรม, และอปรเจตนานี้ก็คือทิฏฐุชุกรรมสิ, ฉะนั้น จะสงเคราะห์การระลึกบุญนั้นเข้าไปในทิฏฐุชุกรรมได้อย่างไร?
ตอบ ข้อนี้ไม่ผิดอะไรเลย, เพราะท้ังสองคือเจตนาระลึกบุญ กับอปรเจตนาของทิฏฐุชุกรรม มีสภาวพต่างกันโดยประเภทอารมณ์ คือ การระลึกบุญมีบุญที่ทำเป็นอารมณ์ แต่อปรเจตนามีวัตถุของทานเป็นต้นนั้นเป็นอารมณ์
ท่านสาธุชนคิดถึงความจริงเถิดว่า การนึกถึงทานเป็นต้นที่เคยทำแล้ว ก็ไม่ได้คิดโดยทำนองว่าเป็นบุญอย่างนั้น เป็นบุญอย่างนี้  แต่คิดถึงวัตถุทานที่ตนให้ ศ๊ลที่รักษา ภาวนาหรือพระกรรมฐานที่ตนอบรม ธรรมที่ฟัง และที่แสดง, ผู้ใหญ่ที่ตนเคารพ และกิจที่ตนช่วยเหลือ บุญที่ตนอุทิศและอนุโมทนา หรือแม้แต่ความเห็นที่ถูกสัมมาทิฏฐิชำระ,
ด้วยประการดังกล่าวมานี่เอง คือ ข้อแตกต่างกันโดยเอาอารมณ์มาเป็นเกณฑ์ จำแนก ที่ทำให้ข้อโต้แย้งนี้ถูกกล่าวแก้แล้ว.
ขออนุโมทนา

สมภพ สงวนพานิช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น