#๓๖อภิธัมมาวตาราวตาร :
เพื่อเข้าถึงคัมภีร์อภิธัมมาวตาร
อัพยากตชาติ :
วจนัตถะ คือ ความหมายของคำว่า อัพยากตะ
(ต่อ)
เมื่อคราวที่แล้วได้นำท่านศึกษาสภาวะของอัพยากตะโดยคำศัพท์ไปแล้ว
แต่ความหมายของคำว่า อัพยากตะ ยังเหลืออีกคำหนึ่ง คือ คำว่า #ไม่ควรแก่วิบาก ที่แสดงไว้เพื่อกำหนดสภาวะของอัพยากตะ.
คำว่า ไม่ควรแก่วิบาก คือ
ความไม่เหมาะสมเพื่อจะให้วิบาก เพราะไม่มีความสามารถในกิจนั้น.
เหตุไรจึงต้องกล่าวคำนี้ไว้อีก
กล่าวเพียง อัพยากตะ เป็นอันผิดแปลกไปจากกุศลและอกุศลทั้งสองเป็นลักษณะ
เท่านี้ก็พอแล้วมิใช่หรือ?
ตอบ ถึงเข้าใจคำดังกล่าวว่า “อัพยากตะ
#มีอันผิดแปลกไปจากกุศลและอกุศลทั้งสองเป็นลักษณะ” ดังนี้แล้ว
แต่บางคนอาจคิดสงสัยไปว่า “อัพยากตะมีอยู่จริงหรือ”
เพราะทิฏฐธัมมเวทนียกรรมเป็นต้น ก็ไม่มีวิบาก, อกุศลที่มรรคอันชื่อภาวนา พึงละ
ก็ไม่มีวิบาก, อภิญญากุศลก็ไม่มีวิบาก. ดังนั้น คำว่า ไม่ควรแก่วิบาก
จะช่วยป้องกันความสงสัยดังกล่าวเสียได้.
ข้อสรุปในเรื่องนี้ว่า
เฉพาะทิฏฐธัมมเวทนียกรรม จะไม่ให้วิบากก็ในกรณีที่ตนเว้นจากปัจจัยที่เอื้อต่อการให้ผลในชาติปัจจุบัน
แต่ถ้ามีปัจจัยพร้อมมูล ก็ให้ผลได้ เมื่อเป็นเช่นนี้
การไม่ให้วิบากของทิฏฐธัมมเวทนียกรรม จึงเป็นธรรมที่ไม่มีวิบากชั่วคราว,
แต่อัพยากตะ จะเป็นเช่นนั้นก็หามิได้, คือ เป็นสภาพที่ไม่ควรแก่วิบาก
เนื่องจากไม่สามารถในการให้วิบากไม่ว่าจะกรณีใดๆ ด้วยเหตุนี้แหละ
ความไม่ควรแก่วิบาก จึงชื่อว่า อัพยากตะ.
ส่วนอภิญญาถูกสงเคราะห์อยู่ในธรรมฝ่ายกุศลและอกุศลที่ภาวนาพึงละก็ถูกสงเคราะห์อยู่ในธรรมฝ่ายอกุศล
ก็มีเหตุผลดังที่เคยกล่าวมาแล้วตอนว่าด้วยจิตมีวิบาก คงจะไม่กล่าวซ้ำอีก.
เป็นอันจบอัพยากตชาติ พร้อมทั้งการจำแนกจิตโดยชาติทั้งสาม
คือ กุศลชาติ อกุศลชาติ และอัพยากตชาติตามคัมภีร์อภิธัมมาวตาร
โดยเรียบเรียงจากคำพรรณนาที่มาในคัมภีร์ฎีกาอภิธัมมาวตาร อันชื่อว่า
อภิธัมมัตถวิกาสินี แต่เพียงนี้
ขออนุโมทนา
สมภพ สงวนพานิช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น