#๒๑อภิธัมมาวตาราวตาร : เพื่อเข้าถึงคัมภีร์อภิธัมมาวตาร
กุศลชาติ : ลักขณาทิจตุกกะของกุศล
นัยที่ ๑ (ต่อ)
กุศล
มีความไม่มีโทษอันมีวิบากน่าปรารถนาเป็นลักษณะ
กุศลนั่นเองก็มีการทำลายอกุศลเป็นรส
(กิจ)
การเข้าถึงสภาวธรรมนอกจากจะพิจารณาโดยลักษณะแล้ว
ถ้าได้ทราบกิจของสภาวธรรมนั้นแล้วจักได้เลือกใช้สภาวธรรมให้ตรงต่อหน้าที่และความสามารถของธรรมนั้น.
คำว่า รส ในที่นี้ ได้แก่ กิจ คือ
หน้าที่ของกุศล.
หน้าที่ของกุศลโดยทั่วไปคือ
ทำลายอกุศลตามสมควรแก่ประเภทกุศลต่างๆ กล่าวคือ
๑) กามกุศล บางที่เรียกกามาวจรกุศล
บางที่เรียกว่า ปริตตกุศล ทำลายอกุศลโดยตทังคปหาน
๒) มหัคคตกุศล
ทำลายอกุศลโดยวิกขัมภนปหาน
๓) โลกุตตรกุศล
ทำลายอกุศลโดยสมุจเฉทปหาน
ประเด็นน่าศึกษา
อะไรคือตทังคปหานเป็นต้น
อาศัยอะไรทำให้แยกเป็นปหาน ๓
ปหาน คือ การทำลาย เป็นคำศัพท์ที่นิยมใช้ในความหมายว่า
การทำลายกิเลส มากกว่าหมายถึงการทำลายอย่างอื่น. ด้วยเหตุนี้ ท่านจะนำคำว่า ปหาน
มาประกอบกับศัพท์ที่บ่งถึงขีดขั้นการทำลายกิเลสโดยแบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ
๑) ตทังคปหาน = ตทังคะ + ปหาน. คำว่า ตทังคะ คือ ส่วนคือกุศลและส่วนคือกิเลส. ส่วนคำว่า ปหาน คือ การทำลาย เมื่อรวมสองคำแล้วได้ความหมายว่า
“การทำลายส่วนคือกิเลสมีความตระหนี่เป็นต้น ด้วยองค์คือกุศลนั้นๆ (ที่เป็นคู่ปรับ)
ที่ถึงความเป็นปุญญกิริยามีทานเป็นต้น”
การทำลายกิเลสของตทังคปหานของกามกุศลคือบุญกิริยามีทานเป็นต้นนี้
มีอานุภาพเพียงทำลายอกุศลไปในขณะที่ตนดำรงอยู่, แต่เมื่อตนหมดไป
อกุศลนั้นก็กลับมาครอบงำบุคคลได้อีก เพราะกามาวจรกุศลมีอานุภาพเล็กน้อย เหมือนแสงประทีปที่ทำลายความมืด
(ครั้นประทีปดับไป ก็ถูกความมืดกลับมาครอบงำได้อีก) ฉะนั้น.
สรุปความว่า การกำจัดส่วนฝ่ายกิเลส
ด้วยส่วนฝ่ายกุศลมีทานเป็นต้น มีความตระหนี่เป็นต้น
ตราบเท่าที่อานุภาพของกุศลนั้นกำลังดำรงอยู่ ชื่อว่า ตทังคปหาน.
๒) วิกขัมภนปหาน =
วิกขัมภนะ + ปหาน คำว่า วิกขัมภนะ คือ ข่ม ได้แก่ การห้ามมิให้เป็นไป. วิกขัมภนปหาน
หมายถึง การทำลายโดยห้ามมิให้เป็นไป ที่มีชื่อเรียกว่า วิกขัมภนะ.
ห้ามกิเลสชนิดไหน? ห้ามกิเลสชนิดที่เรียกว่า นิวรณ์ ด้วยกุศลที่เรียกว่า ฌานทั้งสองประเภทคือ
อุปจารฌานและอัปปนาฌาน.
การทำลายกิเลสของวิกขัมภนปหานด้วยมหัคคตกุศลที่เรียกว่า
ฌาน นี้ มีอานุภาพทำลายกิเลสมีกามฉันทะเป็นต้น ที่เรียกว่า นิวรณ์ ที่ถูกตนข่มไว้
ถูกห้ามไว้มิให้เป็นไป,
ถึงแม้ในเวลาที่ตนหมดอำนาจแล้ว ด้วยกำลังของตน กิเลสเหล่านั้น
ก็ยังไม่กลับมาครอบงำบุคคลอีกในเวลารวดเร็ว อุปมาเหมือนกับการแหวกออกไปของจอกแหนที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำที่ถูกแรงกระแทกผิวน้ำของหม้อ
ฉะนั้น. จริงอย่างนั้น จอกแหนที่ถูกแหวกให้ห่างกันด้วยแรงกระแทกอย่างหนักหน่วงของหม้อน้ำ
ถึงจะยกหม้อขึ้นจากน้ำแล้ว ก็ยังไม่กลับมาปกคลุมผิวน้ำอย่างรวดเร็วด้วยแรงกระแทกของหม้อนั่นเอง
ฉะนั้น.
สรุปความว่า การข่มโดยห้ามมิให้นิวรณ์เป็นไป
ด้วยอำนาจของฌาน ชื่อว่า วิกขัมภนปหาน.
๓) สมุจเฉทปหาน =
สมุจเฉท + ปหาน. คำว่า สมุจเฉทะ คือ การขาดสิ้นไปอย่างดี. สมุจเฉทปหาน หมายถึง
การทำลายกิเลสอย่างหายสาบสูญ ที่เรียกกันว่า การทำให้ถึงการไม่เกิดขึ้นอีกเป็นธรรมดา
อานุภาพของการทำลายกิเลสของสมุจเฉทปหานด้วยโลกุตรกุศลนี้
สามารถทำลายกิเลสชนิดฝังรากลึกอยู่ในจิตตสันดาน ที่มีชื่อเรียกว่า อนุสัย จนหมดสิ้นไม่มีอะไรเหลือ
ในขณะที่ตนเกิดขึ้นมาเท่านั้นถึงจะเพียงขณะจิตเดียวก็ตาม. รุกขชาติใหญ่น้อยทั้งหลาย ครั้นถูกอสนีบาตสายฟ้าฟาดแม้เพียงครั้งเดียว
ก็เป็นอันขาดสะบั้นทะลายสิ้นไปพร้อมกับรากเหง้าของตน ไม่งอกขึ้นอีก ฉันใด.
กิเลสชาตทั้งหลายก็ฉันนั้น เมื่อถูกโลกุตรกุศลกล่าวคืออริยมรรคนี้ทำลายแล้ว จะไม่กลับมาอยู่ในจิตตสันดานอีกต่อไป
แม้เพียงจะเป็นอนุสัยก็ตาม.
ปหานทั้งสามนี้
ถือเป็นหน้าที่ของธรรมที่เรียกว่า กุศล ด้วยประการฉะนี้.
ขออนุโมทนา
สมภพ สงวนพานิช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น